Last updated: 23 มิ.ย. 2562 |
พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างไร ลูกก็ย่อมเติบโตเช่นนั้น นับว่าเป็นคำกล่าวที่ทำให้พ่อแม่อย่างเราได้กลับมาทบทวนถึงการเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยกันเสียใหม่แล้วว่า ทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงดูลูกได้ถูกทาง ให้เขาเติบโตสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง เพราะคงไม่มีคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนหรอกที่ไม่อยากเห็นลูกประสบความสำเร็จและไม่วาดฝันอนาคตไว้ให้กับลูก แต่จะดีแค่ไหนล่ะ ถ้าอนาคตที่สวยงามของลูกเหล่านั้นเราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้เอง เพราะความสุขของลูกก็คือความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่นั่นเอง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้ทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามเป้าหมายให้สำเร็จการเตรียมพื้นฐานให้เขาตั้งแต่อยู่ในช่วงของวัยเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องตระหนักและทำการฝึกอย่างจริงจัง ตลอดจนการมีทัศนคติที่ดีที่จะทำสิ่งต่างๆ อย่างมั่นใจด้วยตนเองเพื่อให้เขามีพื้นฐานที่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้มีพัฒนาการที่ไปได้ไกล สามารถพัฒนาตนเองสู่ความสำเร็จในอนาคตได้
แน่นอนว่าความสำเร็จของลูกนั้นอาจจะไม่ได้ข้้ึนอยู่กับความสามารถทางสติปัญญาเพียงด้านเดียว เพราะนอกจากปฏิภาณไหวพริบแล้วก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่สำคัญอย่างเช่น ความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จ คุณพ่อคุณแม่สามารถปลูกฝังผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่เขาทำได้และเกิดเป็นความสำเร็จก้าวเล็กๆ เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว รับประทานอาหารด้วยตนเอง ตลอดจนการเสริมทักษะต่างๆ อย่างการเล่นเกมส์ตัวต่อจิ๊กซอว์วาดภาพระบายสีออกไปวิ่งเล่นกับกลุ่มเพื่อน ถ้าโตขึ้นมาหน่อยอาจจะใช้เวลาว่างช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานบ้านทำสวนเล็กน้อย เป็นต้น นอกจากจะเป็นการช่วยฝึกทักษะของลูกในด้านต่างๆ และได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงแล้วยังจะเสริมสร้างให้เป็นพื้นฐานของทัศนคติที่ดีให้กับลูกน้อยเพื่อที่จะทำความสำเร็จในอนาคตต่อไป
การที่ลูกน้อยของเราอยู่ในช่วงวัยที่พื้นฐานร่างกายและระบบต่างๆ กำลังเจริญเติบโตนั้น สิ่งสำคัญอื่นๆ ที่ต้องพัฒนาไปคู่กัน ไม่ว่าจะเป็น สติปัญญา ทักษะทางสังคม ความมุ่งมั่น การเห็นคุณค่าในตัวเอง และทัศนคติที่ดี พ่อแม่อย่างเราๆ สามารถเสริมสร้างพัฒนาการและผลักดันให้ลูกไปสู่เป้าหมายความสำเร็จได้ด้วยการส่งเสริมอย่างถูกต้องผ่านวิธีการเชิงบวก
วิธีการเชิงบวกในอันดับแรก
พ่อแม่ต้องวิเคราะห์ลูกให้ได้ก่อนว่า ลูกของเราชอบหรือมีความสุขในการทำกิจกรรมด้านไหนบ้างเพราะบางทีการเล่นซนของเด็กๆ ก็ทำให้เราเห็นทักษะต่างๆที่เด่นชัดฉายแววออกมาตั้งแต่ยังเล็ก อย่างเช่น ลูกชอบใช้จินตนาการวาดภาพระบายสีและสามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาสวยงาม หรือชอบร้องเพลงมีความสนใจที่จะเล่นดนตรีและความกล้าแสดงออก เป็นต้น เมื่อพ่อแม่รู้แล้วว่าลูกมีลักษณะเด่นในด้านไหน ตรงนั้นสำคัญมากว่าคุณพ่อคุณแม่ควรวิเคราะห์และต้องสังเกตให้ตรงกับความเป็นจริงเพราะมีพ่อแม่บางท่านเหมือนกันที่แทนที่จะส่งเสริมในกิจกรรมที่เขาถนัดแต่กลับไปคาดคั้นให้ลูกทำในสิ่งที่ตัวพ่อแม่คาดหวัง ซึ่งความคาดหวังเหล่านั้นถึงแม้จะเต็มไปด้วยความรักความห่วงใย และความหวังดี แต่การพยายามที่มากเกินไปอาจจะทำให้ลูกกดดัน ไม่มีความสุขและล้มเลิกความตั้งใจไปเลยก็ได้เพราะฉะนั้นแล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องเปิดใจให้กว้างและยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นคอยสังเกตและส่งเสริมเขาให้เหมาะสม ไม่เคร่งครัดหรือบีบบังคับมากเกินไป
แต่ต้องให้เขารู้ว่าเขาควรที่จะรับผิดชอบและตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จด้วยตัวของเขาเองให้ได้ เมื่อลูกพบกับอุปสรรคไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จได้ พ่อแม่ก็จำเป็นต้องรู้ต้นตอสาเหตุเหล่านั้นด้วยว่าเกิดขึ้นจากอะไร แล้วช่วยเหลือเขา ด้วยการเป็นเหมือนโค้ชที่ให้คำแนะนำเขาอย่างเข้าใจไปพร้อมๆ กับการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างทีละขั้นตอน และสิ่งสำคัญที่สุดในการเสริมสร้างพัฒนาการของลูกด้วยวิธีเชิงบวกก็คือ การให้กำลังใจลูกในทุกๆ ก้าวของความสำเร็จเพื่อให้เขารู้สึกว่ามีแรงกระตุ้นที่จะทำสิ่งนั้นๆ และมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้ด้วยตัวของเขาเอง เมื่อเขาประสบกับปัญหาในอนาคต เขาก็จะสามารถเรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตนเองและหาวิธีการแก้ปัญหาเหล่าน้ันอย่างเป็นระบบ
ทั้งหมดนี้ลูกน้อยของเราสามารถทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะว่าจะนำเอาวิธีการเชิงบวกนี้ไปใช้หรือจะปล่อยให้มันผ่านไป แต่อย่าลืมว่าตัวอย่างที่ดีนั้นมีค่ามากกว่าคำสอนพ่อแม่ไม่ท้อลูกก็จะไม่ถอยถ้าพ่อแม่สามารถเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูกๆ ได้รับรองเลยว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของลูกในอนาคตเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
แต่ความสำเร็จของลูกอาจจะไม่สามารถพัฒนาได้เต็มที่ถ้าร่างกายของเขาไม่พร้อมความสำเร็จที่เกิดจาก “การเตรียมความพร้อมที่เน้นเพียงด้านสติปัญญาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นแล้วคุณแม่ต้องเสริมสร้างร่างกายของเขาให้แข็งแรง มีภูมิต้านทานที่ดีซึ่งเสริมได้ด้วยการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และเพียงพอต่อการเจริญเติบโต จากงานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันนิวทรีเซีย พบว่าหนึ่งในสารอาหารที่สำคัญสำหรับเด็กวัยตั้งแต่แรกเกิดถึง 2 ปีนั้นคือ DHA ซึ่งจะเสริมสร้างระบบประสาทและสมอง ช่วยในการมองเห็น คิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ
อีกองค์ประกอบที่สำคัญคือการได้รับ ”ซินไบโอติก” (การทำงานร่วมกันของโพรไบโอติก (จุลินทรีย์สุขภาพ) และพรีไบโอติก (อาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ) จะช่วยส่งเสริมภูมิต้านทานที่ดีซึ่งจากงานวิจัยพบว่าการได้รับซินไบโอติกและ DHA ในอัตราส่วนที่เหมาะสมสามารถช่วยเสริมภูมิต้านทานให้กับเด็กเล็กในช่วงวัยแรกเกิดถึง 2 ปี ทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดอัตราการเจ็บป่วย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของลูกน้อยสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องสะดุดจากการเจ็บป่วย
เมื่อลูกน้อยของคุณแม่มีภูมิต้านทานที่ดี
ซึ่งจะทำให้มีพื้นฐานร่างกายที่แข็งแรงแล้ว การที่จะเสริมสร้างพัฒนาการให้ก้าวไปได้อีกขั้นก็คือการพาเขาออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านบ่อยๆ ฝึกให้เขารู้จักเล่นกับกลุ่มเพื่อนบ้าง การที่ลูกน้อยได้ออกไปวิ่งเล่น หรือทำกิจกรรมต่างๆ กับเพื่อน นอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวทุกส่วนในร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อการพัฒนาทักษะด้านการควบคุมอารมณ์ ฝึกให้เขามีสมาธิรู้จักปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น รู้จักเผชิญกับปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็ยังเป็นการปูพื้นฐานสู่การมีทักษะทางสังคมที่ดีในอนาคตอีกด้วย
ก้าวแรกของความสำเร็จของลูก....ขึ้นอยู่ที่มือของคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะว่าจะสามารถผลักดันเจ้าตัวน้อยไปได้ไกลแค่ไหน จะเห็นว่าวิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวกนั้นคือการตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงการยอมรับ ชื่นชมและผลักดันในสิ่งที่เขาเป็นคอยเติมพลังใจในวันที่เขาท้อถอยให้เขาฮึดสู้และพยายามที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จด้วยตัวของเขาเอง โดยที่ไม่กดดันหรือบังคับลูกว่าต้องทำให้ได้เพราะการคาดหวังที่มากเกินไปอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ลูกอาจจะกลายเป็นเด็กที่ไม่มั่นใจและขาดเป้าหมายที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จทั้งในวันนี้และในอนาคต
ฉะนั้นแล้วการเลี้ยงลูกด้วยวิธีเชิงบวกต้องอาศัยระยะเวลาขัดเกลากันพอสมควร ค่อยๆ ฝึกไปทีละขั้นด้วยความรักและเอาใจใส่เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตด้วยกายและใจสมบูรณ์แข็งแรงพร้อมลุยกับทุกเป้าหมายเกิดเป็นพื้นฐานสู่ความสำเร็จที่มั่นคงในวันข้างหน้าได้ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณพ่อคุณแม่เชิงบวกทุกท่านค่ะ
25 พ.ย. 2567
4 พ.ย. 2567
25 ต.ค. 2567