Last updated: 23 มิ.ย. 2562 |
ในปัจจุบันการลดความอ้วนมีหลากหลายวิธี แต่วิธีที่ดูจะได้รับความนิยมมาก คือ ยาลดความอ้วนหรืออาหารเสริมต่างๆ ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นประการใด ไม่มีคำแนะนำออกมาอย่างชัดเจนในรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ จนทำให้เกิดผลกระทบในด้านลบจนกระทั่งเสียชีวิตให้เห็นตามสื่อ บทความนี้จะมาทำความเข้าใจในเรื่องยาและอาหารเสริมว่าสามารถลดน้ำหนักได้จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่
ทำความรู้จักยาลดความอ้วนชนิดต่างๆ
1.ยาลดความอยากอาหาร เป็นยาที่ออกฤทธิ์ที่สมองทำให้เบื่ออาหาร ได้แก่ เฟนเทอร์มีน ไซบูทรามิน ทำให้ความอยากอาหารลดลง แต่ยาลดความอยากอาหารมีผลข้างเคียง เช่น ปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก นอนไม่หลับ ใจสั่น หากใช้ติดต่อกันนาน ๆ ทำให้ประสาทหลอนได้ อันตรายนะคะ
2.ยาขับปัสสาวะ ถ้านำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วจากการขับน้ำออกมา ทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ ผลข้างเคียง คือ ทำให้อ่อนเพลียและรุนแรงไปจนถึงหัวใจทำงานผิดปกติได้
3.ยาไทรอยด์ฮอร์โมน ยากลุ่มนี้ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกายของจริง แต่มีผลข้างเคียง คือ ทำให้ใจสั่น และที่สำคัญอาจเกิดอาการไทรอยด์เป็นพิษโดยไม่รู้ตัว
4.ยาระบาย แม้ว่ายาระบายเมื่อกินแล้วทำให้ถ่ายคล่องระบายสะดวกแต่ยาระบายลดการดูดซึมของอาหารได้ประมาณ 12 % ผลข้างเคียงคือ ทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ ร่างกายอ่อนเพลีย และไตมีปัญหาได้
ยาลดน้ำหนักที่ปลอดภัย
ยาลดน้ำหนักที่ปลอดภัย คือ ยาที่ออกฤทธิ์ที่ระบบทางเดินอาหาร รวมถึงยามีผลให้ถ่ายอุจจาระมีไขมันปนออกมา หากใช้ยาเกิน 3 เดือน ควรรับประทานวิตามินกลุ่มที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค เพราะคนที่ทานยาลดความอ้วนมีแนวโน้มขาดวิตามินอยู่แล้ว สิ่งสำคัญการลดความอ้วนควรปรึกษาคุณหมอจะปลอดภัยที่สุดไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง
อาหารเสริมลดน้ำหนัก
ทำความเข้าใจกันก่อนว่าอาหารเสริมลดน้ำหนักไม่ใช่ยาลดน้ำหนัก ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายมากมายตามท้องตลาดหรือจำหน่ายออนไลน์ ซึ่งไม่มีอะไรการันตีถึงความปลอดภัยเลย มาดูกันค่ะว่าอาหารเสริมลดน้ำหนักมีอะไรบ้างและแต่ละชนิดมีผลข้างเคียงอย่างไร
1.สารสกัดจากถั่วขาว สารจากถั่วขาวมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในตับอ่อนทำให้เกิดการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลก่อนดูดซึม ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานลดลง เกิดการดึงไขมันที่สะสมมาเผาผลาญ ทำให้น้ำหนักลดลง และไม่ค่อยหิว มีการศึกษา พบว่า หากรับประทานสารสกัดจากถั่วขาวติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน จะช่วยลดน้ำหนักและดัชนีมวลกาย ลดไขมันสะสมรอบเอวและต้นขาลงได้
2.สารสกัดจากผลส้มแขก ผลส้มแขกช่วยลดการเปลี่ยนแป้งเป็นไขมัน และกระตุ้นไขมันที่สะสมอยู่แล้ว นำไปใช้เป็นพลังงาน มีการศึกษาทางการแพทย์ พบว่า การทานอาหารเสริมสารสกัดจากผลส้มแขกขนาด 2.4 กรัม/วัน ในช่วงเวลาสั้น ๆ ประมาณ 2 – 3 เดือน ช่วยดลน้ำหนักได้เล็กน้อยประมาณ 0.7 – 1 กิโลกรัม ดังนั้น คนอ้วนมากๆ ไม่เหมาะจะนำมาทานเพราะอาจไม่เห็นผลเท่าที่ควร
3.ชาเขียว เป็นชาที่ไม่ผ่านการหมัก เป็นชาที่เก็บเกี่ยวแล้ว นำมาอบความร้อนเพื่อไล่ความชื้นหรืออบ ไอน้ำแล้วนำมาคั่วแห้งและเก็บไว้ชงชา มีการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่า การรับประทานชาเขียวสกัด 750 มิลลิกรัม/วัน เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดน้ำหนักลงได้ 2.7 กิโลกรัม
4.คาเฟอีน กลุ่มคาเฟอีนถือว่าเป็นพระเอกของอาหารเสริมลดน้ำหนักก็ว่าได้มีการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ พบว่า หากคนอ้วนดื่มคาเฟอีน ขนาด 200 มิลลิกรัม เป็นเวลา 6 เดือน ไม่มีผลในการลดน้ำหนัก นอกจากนี้ หากรับประทานเสริมคาเฟอีนในปริมาณที่สูงกว่า 300 มิลลิกรัม /วัน (ตามปกติกาแฟ 1 แก้ว มีคาเฟอีนประมาณ 100 -150 มิลลิกรัม) ทำให้เกิดอาการใจสั่น นอนไม่หลับ ปัสสาวะมาก รวมไปถึงคาเฟอีนดูดซึมแคลเซียมมีผลทำให้กระดูกพรุนอีกด้วย
5.ชาสมุนไพร ที่มีส่วนผสมของใบมะขามแขก ช่วยลดน้ำหนักได้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะจัดเป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำแต่ไม่ได้ช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายแต่อย่างใด ถ้าใช้ต่อเนื่องยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ลำไส้จะเคยชินกับการใช้ยาระบายทำให้ลำไส้ขี้เกียจทำงานบีบตัว ทำให้ต้องทานยาระบายอยู่ตลอดจนจะขับถ่ายได้
ได้ทราบข้อดี ข้อเสียของยาลดความอ้วน และอาหารเสริมลดความอ้วนกันแล้วนะคะ อย่าเลือกผลิตภัณฑ์ตามกระแสตลาดหรือเชื่อโฆษณา ถ้าจะให้ดีการลดน้ำหนักควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะแต่ละคนมีไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกัน ทั้งการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร สัดส่วนของไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีนไม่เหมือนกัน ร่างกายจะได้รับผลเสียมากกว่าดีนะคะแถมยังไม่สามารถลดความอ้วนได้ตามที่สินค้านั้น ๆ โฆษณาอีกด้วย
4 พ.ย. 2567
25 ต.ค. 2567
25 พ.ย. 2567