Last updated: 23 มิ.ย. 2562 |
สมัยก่อนเวลาตั้งครรภ์ ส่วนมากคุณแม่ก็มักจะลุ้นแค่ขอให้ลูกคลอดออกมาสมบูรณ์และแข็งแรงก็พอใจแล้ว ส่วนจะฉลาดหรือไม่ฉลาดค่อยมาลุ้นเอาตอนหลังคลอดซึ่งอาจจะต้องรอจนลูกโตพอสมควรแล้วจึงคิดว่าจะทำอย่างไรดีลูกถึงจะฉลาด จะฉลาด บางคนก็ ไม่คิดอะไรปล่อยไปตามธรรมชาติลูกจะฉลาดหรือ ไม่ฉลาดถือว่าเป็นเรื่องบุญกรรมที่มีมาแต่ชาติปางก่อน แต่ในปัจจุบันด้วยความรู้ทางการแพทย์ที่มากขึ้น ทำให้เราสามารถทราบถึงพัฒนาการของ สมองลูกน้อยได้ตั้งแต่อยู่ครรภ์ว่ามีพัฒนาการ อย่างไร และสามารถจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการ ต้ังแต่อยู่ในครรภ์ได้อย่างไรบ้าง
คุณแม่หลายคนจึงใจร้อนอยากจะช่วยกระตุ้นให้สมองของลูกมีการพัฒนาที่ดีโดยเริ่มตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์เลย โดยหวังว่าเมื่อคลอดออกมา ลูกจะได้เป็นเด็กฉลาด ไหวพริบดี หรืออารมณ์ดี ไอ้ที่จะมารอพัฒนาลูกหลังคลอดก็กลัวว่าจะไม่ทันการณ์หรือช้าเกินไป ยิ่งในปัจจุบันมีข้อมูลจากสื่อต่างๆมากมายแนะนำ ให้คุณแม่กระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์กันมากมาย จนไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี หรือบางทีที่ได้รับคำแนะนำมาก็ทำไม่ถูกก็มีหลายคนเลยเครียด และวิตกกังวลกลัวลูกจะฉลาดสู้ลูกคนอื่นไม่ได้ บางคนกลัวตกยุคไม่ทันสมัยก็มี ถ้าไม่ได้กระตุ้นพัฒนาการลูกน้องท้องเหมือนชาวบ้านเขา
ผมอยากเรียนให้ทราบว่าการกระตุ้นพัฒนาสมองของลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ด้วยวิธีการต่างๆที่มี การกล่าวอ้างกันยังไม่มีข้อสรุปท่ีแน่ชัดเลยว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่และวิธีการใดเป็นวิธีการที่ดีท่ีสุด เพียงแต่มีข้อสังเกตว่าทารกจานวนไม่น้อย ที่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มีสติปัญญาดี เลี้ยงง่าย อารมณ์ดี
ดังนั้นถ้าคุณแม่ อยากจะกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกในครรภ์ จะด้วยวิธีการใดก็ตาม ถ้าคุณแม่ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองสบายดีหรือมีความสุขและไม่น่าจะเป็น อันตรายอะไรก็ทำไปเถิดครับ แต่ถ้าทำแล้วตัวเองเครียดหรือกังวลก็เลิกเถอะครับ
จะกระตุ้นพัฒนาสมองเมื่อไหร่ดี?
นับตั้งแต่ไข่จากแม่และตัวอสุจิจากพ่อมาผสมกัน เกิดเป็นหน่วยชีวิตเล็กๆ ที่เรียกว่า เซลล์จากเซลล์เพียงเซลล์เดียวก็จะมีการแบ่งตัวอย่าง รวดเร็วและพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยเกิดเป็นเซลล์ที่สร้างระบบอวัยวะต่างมากมายจนเกิดเป็นลูกน้อย อยู่ในท้องของคุณแม่ เซลล์สมองก็เช่นเดียวกับเซลล์ของระบบอวัยวะอื่น กล่าวคือจะเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์เช่นเดียวกันและจะมีการเพิ่มทั้งจำนวน และขนาดเกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองและเชื่อมโยงกันเองเกิดเป็นข่ายใยเส้นประสาทอย่างมากและรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่ลูกน้อยมีอายุประมาณ 8 สัปดาห์ เรื่อยไปจนถึงคลอดออกมาแล้วมีอายุ 2 ขวบ หลังจากนั้นพัฒนาการของสมองก็จะลดลง ดังนั้นช่วง ทองที่ควรจะกระตุ้นพัฒนาลูกน้อยจึงควรเป็นช่วง เวลาดังกล่าว
จะกระตุ้นลูกน้อยให้สมองดีได้อย่างไร?
การที่คนเราจะมีสมองดีหรือมีความเฉลียวฉลาดมีปัจจัยที่มาเกี่ยวข้อง หลายประการ ปัจจัยที่สาคัญมี 3 ประการคือ กรรมพันธุ์ อาหารการกิน ของแม่ขณะตั้งครรภ์และของลูกภายหลังคลอด และประการสุดท้ายคือ สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กทั้งขณะที่อยู่ในท้องและภายหลังคลอด
ปัจจัยทางกรรมพันธุ์เป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ พ่อแม่ที่เฉลียวฉลาดก็จะถ่ายทอดลักษณะที่ดีนี้มาให้ลูกได้ เหมือนกับโรงงานไหนที่ผลิตสินค้าที่คุณภาพดี ก็จะผลิตแต่สินค้าคุณภาพดี แต่บางโรงงานที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าได้แค่เพียงสินค้าคุณภาพต่ำ ผลิตอย่างไรสินค้าก็คุณภาพดียาก คุณแม่คงจะเห็นได้ว่าเด็กบางคนพ่อแม่ไม่ได้ให้การดูแลอะไรเป็นพิเศษทั้งขณะตั้งครรภ์หรือหลังคลอดแล้ว ก็ยังฉลาดได้เลยอ่านมาแบบนี้แล้วพ่อแม่ที่คิดว่าตัวเองสมองไม่ค่อยดีก็อย่าเพิ่งสิ้นหวังเสียทีเดียวครับ เพราะความเฉลียวฉลาดของคนเรายังขึ้นกับ อาหารการกินและสิ่งแวดดล้อมดังกล่าวแล้วอีกแล้ว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้นำมาซึ่งแนวคิดในการกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั่นเองครับ
การกระตุ้นพัฒนาการของสมองลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์สามารถทำได้ หลายวิธี ผมจะยกตัวอย่างวิธีท่ีทำได้ง่ายๆไม่สิ้นเปลือง และไม่เป็นอันตรายให้คุณแม่ลองนำไปปฏิบัติดูนะครับ
การปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ
คนอารมณ์ดีย่อมมีความสุขกว่าคนอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่าคุณแม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจจะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอนดอร์ฟิน (endorphin) ออกมาผ่านไปทางสายสะดือไปยังลูกทาให้ลูกมีพัฒนาการท่ีดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) ในทางตรงกันข้ามคุณแม่ที่มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย ร่างกายจะหลั่งสาร แห่งความเครียดที่เรียกว่า อะดรีนาลิน (adrenalin) ออกมาผ่านไปยังลูก ผลดังกล่าวจะทาให้ลูกคลอดออกมาเด็กงอแง เลี้ยงยาก พัฒนาการช้า ฟังดูแล้วจะว่าทำได้ง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะบางคนไม่ใช่คนที่จะปล่อยวางอะไรได้ง่ายๆ หรือเป็นคนเครียดตลอดเวลาถ้าต้องมาปรับอารมณ์ให้ดีอาจจะเครียดจากการปรับอารมณ์หรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ฟังเพลง
ระบบประสาทการรับฟังของลูกน้อยในครรภ์จะเร่ิมทางาน ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน การใช้เสียงกระตุ้นจะ ทำให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น เสียงท่ีดีที่ควรใช้ในการกระตุ้นก็คือ เสียงเพลง โดยเฉพาะเพลงที่มีความไพเราะและคุณแม่ชอบฟัง ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงคลาสสิคอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะบางเพลงถ้าฟังไม่ดีอาจจะประสาทรับประทานก็ได้ครับ เวลาคุณแม่ฟังเพลงควรจะเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าห้องประมาณ 1 ฟุตและเปิดเสียงดังพอประมาณเพื่อลูกในครรภ์จะได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย การที่ลูกในครรภ์ได้รับฟังเสียง เพลงคลื่นเสียงจะไปกระตุ้น ให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินมีการพัฒนาระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมามีความสามารถใน การจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆได้ดี
พูดคุยกับลูก
การพูดคุยกับลูกในครรภ์บ่อยๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดี และเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คุณแม่ควรพูดคุยกับลูกบ่อยๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆเพื่อให้ลูกคุ้นเคย อย่าไปเล่าเรื่องทุกข์ใจ เช่น เป็นหนี้เขาอยู่ หรือส่งแชร์ไม่ทันให้ลูกฟังนะครับ เพราะเดี๋ยวลูกจะเครียดเสียตั้งแต่อยู่ในท้อง
ลูบหน้าท้อง
การลูบหน้าท้องจะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น การลูบท้องควรลูบเป็นวงกลมจะจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน บริเวณไหนก่อนก็ได้ครับ
ส่องไฟที่หน้าท้อง
ลูกน้อยในครรภ์สามารถกระพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสง ไฟท่ีกระตุ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน การส่องไฟที่หน้าท้องจะทาให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและ การมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้นและเตรียมพร้อมสาหรับการมองเห็นภายหลังคลอด การส่องไฟที่หน้าท้องไม่จำเป็นต้องไปเล็งว่าแสง จะเข้าตรงกับนัยน์ตาของลูกหรือเปล่าหรอกครับ คุณแม่บางคน มาขอให้หมอตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อหาตาแหน่งของนัยน์ตาลูก ก็มี ผมว่ามันออกจะมากเกินไปครับ เอาแค่ให้ลูกรู้ว่ามีแสงส่อง เข้ามาก็น่าจะพอแล้วละครับ
ออกกำลังกาย
เวลาคุณแม่มีการออกกาลังกาย ลูกท่ีอยู่ในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก ผลดังกล่าวจะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น
เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม
เนื้อสมองของลูกน้อยในครรภ์มีองค์ประกอบเป็นไขมันโดย เฉพาะไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 60 กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการสมองของลูกน้อยในครรภ์ คือกรดไขมันที่มีชื่อว่า ดีเอ็ช เอ (DHA) ซึ่งมีมากในอาหารปลาพวกปลาทะเลและสาหร่ายทะเล และ เออาร์เอ (ARA) ซ่ึงมี มากในอาหารพวกน้ามันพืช เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเม็ดทานตะวัน และน้ำมันข้าวโพด การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารดังกล่าวให้เพียงพอจะทาให้ลูกในครรภ์ได้รับวัตถุดิบ คุณภาพดีในการสร้างเนื้อสมองและระบบเส้นใยประสาทให้มี คุณภาพดีตามไป
ขอให้คุณแม่ทุกคนโชคดีมีลูกน่ารักและเฉลียวฉลาดสมดังที่ต้ังใจนะครับ
14 พ.ย. 2567
9 ต.ค. 2567