Last updated: 8 ก.ค. 2562 |
"เพจเลี้ยงลูกให้ถูกทาง By แม่มิ่งเป็นเพจเล็ก ๆ แต่น่ารัก..
นำเสนอความเป็นตัวตน และเรื่องราวสบายๆ ง่ายๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกของแม่มิ่ง”
มัมสเตอร์มีโอกาสได้พูดคุยกับ แม่มิ่ง คุณแม่นักเขียน เจ้าของเพจเลี้ยงลูกให้ถูกทาง By แม่มิ่งเป็นเพจที่แบ่งปันการเลี้ยงลูกของตัวเองมาผสมผสานกับความรู้ทางวิชาการ อ่านง่าย นำไปใช้ได้จริง
จุดเริ่มต้นเกิดจากความบังเอิญ
จุดเริ่มต้นของการสร้างเพจเป็นความบังเอิญ ก่อนหน้านี้แม่มิ่งเคยเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือเรียน และ Pocket Book มาโดยตลอด ต่อมามีโอกาสเข้ามาอยู่ในแวดวงของสื่อดิจิทัลออนไลน์เริ่มทำบทความเกี่ยวกับแม่และเด็กซึ่งต้องมีการอ้างอิงเนื้อหาเกี่ยวกับทางการแพทย์เพราะฉะนั้นสิ่งที่พลาดไม่ได้เลย คือ ความถูกต้องในเชิงของเนื้อหาทางวิชาการ แต่การนำเสนอนั้น จะทำอย่างไรให้เพียงพอกับเนื้อที่เล็กๆ ซึ่งไม่ใช่เนื้อที่ของหนังสือที่จะสามารถเขียนบรรยายรายละเอียดข้อมูลต่างๆได้มากมาย เป็นสื่อดิจิทัลที่มาเร็วไปเร็ว จากนั้นแม่มิ่งก็มีโอกาสต่อยอดมันคือการสั่งสมประสบการณ์ไปในตัว
ประสบการณ์ทำงาน + รูปแบบการเลี้ยงลูกของตัวเอง = เพจเลี้ยงลูกให้ถูกทาง By แม่มิ่ง
เพจของแม่มิ่งเกิดจากความรู้สึกที่ว่า อยากจะนำเสนอ อะไรที่เป็นตัวเรา โดยเอาประสบการณ์ทำงานมาผนวกกับรูปแบบการเลี้ยงลูกในแบบของเรา เลยลองสร้างพื้นที่ออนไลน์เล็กๆ ที่เป็นมุมของเราจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นำเสนอความเป็นตัวตน นำเรื่องราวสบายๆ ง่ายๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกซึ่งบางคนอาจมองว่าซับซ้อนวุ่นวาย
แม่มิ่งจึงทำบทความเพื่อที่จะสะท้อนในแง่มุมของคนจากเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย อย่างศัพท์วิชาการทางการแพทย์ที่นำมาใช้ในเรื่องของการดูแลครรภ์ เรารู้เลยว่า พ่อแม่มือใหม่จำนวนมาก ยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องของการดูแลสุขภาพ นี้คือจุดเริ่มต้นก่อนที่จะไปถึงการเลี้ยงลูก เพราะเมื่อเราไม่มีความรู้ หรือรู้อย่างไม่ถูกต้องของทางการแพทย์หรือการดูแลสุขภาพ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งแม่และลูก เพราะฉะนั้นแม่มิ่งได้เล็งเห็นถึงปัญหา ก็เลยอยากทำอะไรเพื่อตอบแทนสังคมตรงจุดนี้ หรือนำมาบอกเล่าให้เขาเข้าใจ เหมือนถอดตำราภาษาหมอ มาเป็นภาษาชาวบ้าน จุดประสงค์หลักคือ อยากจะเผยแพร่ความรู้หลักๆ เป็นลักษณะนี้มากกว่า
ตัวตนของแม่มิ่งในการทำเพจ ?
ในการทำเพจแม่มิ่งได้ดึงความเป็นตัวตนออกมา แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นที่รู้จักในระดับนึง ก็รู้สึกว่าได้รับเกียรติและยินดีอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกตรงนี้มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าการทำงานของเรา ยิ่งต้องทวีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นไปอีก...
แม่มิ่งเป็นทั้งนักเขียนและบรรณาธิการ แน่นอนว่าสิ่งที่แม่มิ่งนับถือเสมอ คือ ความถูกต้องในเรื่องของหลักการ เนื้อหาวิชาการ ซึ่งขอเน้นย้ำตรงนี้ เพราะไม่ได้คิดว่าเรื่องเหล่านี้จะมาเร็วไปเร็ว หรือเป็นเพียงแค่กระแส
เพจของแม่มิ่งจะเป็นในเรื่องของ How to บอกไปเลยทำอย่างไร อาจไม่เน้นเรื่องคำคมสะเทือนใจ หรือ เป็น viral ซึ่งเพจของเราก็ค่อยๆโต เปิดมาประมาณ 2 ปี ตอนนี้แฟนเพจก็อยู่ที่ประมาณ 28000 ไม่ถือว่ามากมายอะไร แต่ทุกอย่างมาด้วยออแกร์นิก คือเราเน้นความเป็น Real ความเป็นตัวเราความถูกต้อง โดยมีการสื่อสารอย่างง่ายๆ สบายๆ
“แม่มิ่งคือ ปุถุชนคนธรรมดาที่เรียนรู้ถูกผิดเหมือนกัน
แต่เพียงแค่เรามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน”
ต้องยอมรับว่าช่วงแรกเพจจะเขียนอธิบายค่อนข้างยืดยาว ย้อนกลับไปอ่านงานตัวเองรู้สึกว่าน่าเบื่อ รู้สึกว่าร่ายยาวเป็นนักวิชาการ มันไม่ใช่การเขี้ยนตำราเรียนนะ มันต้องมาปรับเป็นภาษาง่ายๆ บางครั้งก็สอดแทรกภาษาพูดเข้าไปบ้าง เหมือนเป็นการพูดคุย
ต่อมามีการใช้อินโฟกราฟิคเข้ามาช่วยให้เข้าใจง่ายมากขึ้นบอกวิธีการเลยว่าปัญหาตรงนี้ แก้ไขยังไง และและในส่วนของแม่มิ่ง เมื่อแม่มิ่งเจอปัญหาแบบนี้แม่มิ่งจะทำยังไง มันเหมือนเป็นกระดานแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ไม่ให้ยึดว่าต้องเชื่อแม่มิ่ง แม่มิ่ง คือ คนที่ถูก ไม่ใช่ เพราะแม่มิ่งคือ ปุถุชนคนธรรมดาที่ เรียนรู้ถูกผิดเหมือนกัน แต่เพียงแค่เรามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
คอนเทนต์บนเพจเป็นแบบไหน
แม่มิ่งเป็นแม่ที่ “ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายและเอาไปใช้ได้ในชีวิตจริง” ไม่ใช่อ่านบทความของแม่มิ่งเพื่อความสนุกอย่างเดียว แต่เมื่อแฟนเพจปรึกษาปัญหาเข้ามา แม่มิ่งรู้สึกว่าบางที มันมีข้อมูลแบบนี้หลากหลายนะ มันก็สะท้อนแล้วว่าคุณอ่านแล้วมันใช้ไม่ได้จริง บางทีมีปัญหาสังคมปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้
แม่มิ่งพยายามหาสาเหตุของปัญหา ซึ่งสาเหตุที่พบก็เรื่องของการสื่อสาร อย่างในแง่มุมของอาจารย์หมอก็จะค่อนข้างนักวิชาการ ถ้าถามว่าเก่งไหม? ดีไหม? เลิศไหม?แน่นอนว่าท่านเป็นอาจารย์หมอและข้อมูลของท่านก็แน่นปึก แต่บางทีคนอ่านก็เข้าไม่ถึง แม่มิ่งก็เลยมองว่าเราทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายดีไหม เอาภาษาหมอง่ายๆ เอาโรคที่มันยากๆ ชื่อประหลาดๆ มาทำให้เป็นเรื่องง่าย สื่อสารให้เขาเข้าใจจะทำอย่างไร บอกขั้นตอนเลย 1 2 3 เพราะคนอ่านบางคนเขาอยากรู้ว่าทำยังไง ไม่ได้อ่านเพื่ออยากรู้ที่มา เขาอยากรู้เลยว่าทำไมถึงติด ติดแล้วแก้ไขยังไง จะตายไหม มีทางออกยังไง รักษายังไงได้บ้าง
แม่มิ่งเป็นคนแบบไหน ?
... คนมองจากภายนอกอาจจะเหมือนนักวิชาการ แต่จริง ๆ แล้วแม่มิ่งคุยสนุกสนานเฮฮา…
ปกติแล้วบุคลิกของตัวเอง คนมองจากภายนอกอาจจะเหมือนนักวิชาการ แต่จริงๆแล้วแม่มิ่งคุยสนุกสนานเฮฮา ถ้าอยู่กับเพื่อนๆ จะเรียกว่า รั่วเลยแหละ แต่เพียงแค่ว่าเราก็สอดแทรกความเป็นเราตรงนั้นลงไป มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า การเป็นแม่มิ่ง เป็นมุมมองนึงที่คนเข้าสัมผัสได้ง่าย และเข้าใจในสิ่งที่เราเผยแพร่หรือสื่อสารลงไป แม่มิ่งเป็นคนสนุกสนานทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย การพูดของแม่มิ่งอาจจะสะท้อนผ่านบทความ แต่บทความของแม่มิ่งมันเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาไปปรับ ใช้ได้จริง
คิดว่าในชีวิตประจำวันเราเลี้ยงลูกแบบนี้ เราเจอปัญหาแบบนี้ …
อย่างปัญหาวัยรุ่น ลูกแม่มิ่งก็อยู่ในช่วงวัยรุ่น ปรับอย่างไร ...
แม่มิ่งมีข้อเสียเราเคยบ่นเราเคยดุเมื่อลูกเราเล็กกว่านี้...
แต่เมื่อลูกโตขึ้น การปรับเปลี่ยนมันต้องโตขึ้น...
แม่มิ่งดึงความเป็นตัวตนออกมา ทั้งในมุมที่เราอาจผิดพลาด หรือไม่เข้าใจ แต่เราเรียนรู้ด้วยตัวของเราเองว่า... พอลูกเข้าวัยรุ่น เราต้องฟังมากกว่าพูดแล้วนะ การสื่อสารจะต้องเริ่มเปลี่ยน พอเราลงมือได้ปฏิบัติจริงแล้วมันเห็นผล ถึงแม้ว่าลูกแม่มิ่งจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งไม่มีปัญหาทั้งเรื่องการเรียนและความประพฤติ มันสะท้อนให้เห็นว่าที่สุดของการเลี้ยงลูกคือ "การสื่อสาร"
การเป็นนักเขียน คือ การเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบ
แม่มิ่งจบปริญญาโทประชากรศึกษาจาก ม.มหิดล มาเป็นอาจารย์สอนที่สาธิตเกษตร จากนั้นก็ผันตัวเองไปเป็นนักวิชาการ ของตำราเรียน ที่สำนักพิมพ์วัฒนาพาณิชย์ และจัดทำงานเขียนมาตลอด แม้ออกมาดูแลครอบครัวในช่วงนึง แต่ว่างานเขียนของแม่มิ่งไม่เคยทิ้ง แม่มิ่งจะมีผลงานเขียนทั้งตำราวิชาการ คือ หนังสือเรียน Pocket Book
แม่มิ่งเป็นนักเขียนที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นครู เพราะส่วนหนึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนที่สาธิตเกษตร และก็เป็นนักวิชาการทางด้านตำราเรียนมาโดนตลอด สอนวิชาภาษาไทย สังคม เพราะจบปริญญาโทสาขาประชากรศึกษา ทางด้านสังคม จบตรี 2 ใบ จบเอกภาษาไทยจาก ม.กรุงเทพใบนึง และสังคมวิทยาที่ราม เรียนด้วยความอยากรู้
การเป็นนักเขียนส่วนหนึ่งคือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบ แม่มิ่งจะพูดเสมอว่าเหมือนน้ำ ถ้าเราคิดว่ามันเต็มแก้วเมื่อไหร่ เราก็จะหยุดมันการพัฒนาก็จะไม่ก้าวหน้า แต่มองว่าการเติมน้ำให้เต็มแก้วเสมอ แม่มิ่งจะชอบไปฟังสัมมนา ไปตามโรงพยาบาลหรือว่าหน่วยงานทางการศึกษาอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะการเป็นนักเขียนคุณจะอยู่แค่มุมแคบๆ ไม่ได้
เราสอนลูกเสมอว่าอย่าหยุดเรียนรู้ อะไรก็แล้วแต่เรียนรู้เข้าไป ไม่ได้หมายความว่าให้ขยันเรียน แต่หมายถึงให้ขยันเรียนรู้ เปิดโลกทัศน์ตัวเอง อะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรามีใจที่เปิดกว้างไม่ปิดกั้นตัวเอง นั้นเป็นวิธีการที่ไม่ฉลาด ซึ่งนักเขียนไม่ควรที่จะเป็นแบบนั้น นิสัยส่วนนึงของตัวเองจึงต้องถ่ายทอดไปให้กับลูก ๆ
Balance Mom สไตล์แม่มิ่ง
การสื่อสารคือสิ่งสำคัญ เมื่อสื่อสารกันเข้าใจแล้ว ทุกอย่างมันจะไม่ใช่ปัญหา ตรงนี้คือ คำตอบในชีวิต
คำว่า Balance ของแม่มิ่งจะใช้วิธีการสื่อสารให้ลูกรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ให้เขารับรู้ในสิ่งที่เราทำ อย่างที่บอกว่าการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการเลี้ยงดูลูก นอกจากการเลี้ยงดูทางกายภาพ ให้เขากินอาหาร ให้เจริญเติบโตแล้วเป็นเรื่องปกติ แต่ในเรื่องของการสื่อสารต้องให้ลูกเข้าใจในสิ่งที่เราทำ แล้วเราจะเปิดใจรับฟังในสิ่งที่ลูกฟัง ผลัดกันรับฟังผลัดกันทำความเข้าใจ
การกอด หอม พูดคุย ถามเขา ดูแลการบ้าน โดยเฉพาะการดูแลเรื่องการเรียน...แม่มิ่งทำมาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ส่วนหนึ่งลูกมีแม่ก็เหมือนมีครูอยู่ที่บ้าน อาจจะต้องบอกตรงๆว่าเป็นคนที่เข้มงวดของการเรียน ตั้งแต่ลูกยังเด็ก เมื่อเขาโตมาในระดับนึง เราไม่ต้องกังวลอะไรเขาเยอะแล้ว เพราะมันเริ่มเข้าที่เข้าทาง ไม่ได้หมายความว่าไม่ดูแลนะ คือ เขาจะรู้ว่าถึงเวลาสอบ เขาก็จะเอาตารางสอบมาให้ดู เขาก็จะไปติว เพราะเขาเข้าใจ และวางแผน เมื่อเขารับสารอะไรจากโรงเรียนมา เขาก็จะบอกว่ามีงานอะไรทำอะไร
เรื่องเรียนจะพยายามไม่ให้ลูกเรียนหล่น ไม่ได้เข้มงวดว่าลูกต้องเรียนเก่งแต่เพียงแค่ว่า การเรียนเป็นสิ่งเดียวที่เด็กต้องรับผิดชอบได้ และมันเป็นพื้นฐานของการเติบโตต่อไป สิ่งที่เห็นชัดเจนในตอนนี้คือการรับผิดชอบในเรื่องการเรียน เราถึงมีการพูดคุยโดยตลอด ลูกรับรู้ว่าแม่ทำอะไร แม่รับรู้ว่าลูกทำอะไร ดังนั้นปัญหาที่มันจะเกิดมากขึ้นมันก็ลดน้อยลง
บรรยากาศการพูดคุยเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และความอบอุ่น วันนี้แม่มิ่งเดินทางมากับ 2 สาว น้อง ๆ น่ารักมากกก เราจึงขอพูดคุยและทำความรู้จักกับ น้องโบนัส ลูกสาวคนโตของแม่มิ่งสาวน้อยที่มาพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจ
น้องโบนัสกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร เป็นสาวน้อยเรียนดีที่มาพร้อมกับความสามารถพิเศษ คือ การเล่นขิมเรียนมาตั้งแต่ ป.1 และน้องมีความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เล็กว่า น้องอยากเป็นคุณหมอ วิชาที่น้องโบนัสชื่นชอบ คือ วิทยาศาสตร์
- เมื่อรู้สึกท้อทำอย่างไร – ถ้าท้อหรือทำไม่ได้ หนูก็พยายามใหม่ / น้องโบนัส
แรงผลักดัน คือ ที่มาของความสำเร็จ
คำว่า “พยายาม” แม่มิ่งจะบอกลูกอยู่เสมอ เพราะมันเป็นแรงผลักดันให้ลูกกระตุ้นตัวเอง บางครั้งผลการเรียนออกมาคะแนนสอบอาจจะไม่ดี ในช่วงกลางภาค ตัวน้องโบนัสเองเขารู้แล้วว่าปลายภาคเขาต้องทำการบ้านหนักนะ เขาต้องอ่านหนังสือหนักขึ้นนะ แต่ตรงนี้แม่ไม่ต้องบอกเขา เขารู้ตัวเองว่าต้องทำอย่างไร
คนอื่นฟังอาจจะดูว่าแม่มิ่งเข้มงวดกับลูกเกินไปไหม แต่ทุกอย่างมันเกิดจากความเข้าใจ ทั้ง 2 ฝ่าย อะไรก็แล้วแต่ที่เข้าใจพร้อมกัน ไม่ได้เกิดจากแม่คนเดียวที่เป็นคนวางเอง แต่เมื่อเราวางแล้วเขาเข้าใจ และเขาได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่แม่ อธิบายมันจริงนะ มันใช่นะ
เขาเรียนขิมตั้งแต่ ป. 1 จนถึง ม.1 เลยแล้วเขาก็ไปสอบแข่งขันของกระทรวงศึกษาธิการและได้รับเหรียญทองประเภทขิมชั้นกลาง อายุ 7 -11 ปี ตอนนั้นน้องโบนัสอยู่ ป.6 ความภาคภูมิใจในความสำเร็จสอนให้โบนัสรู้ว่า ความสำเร็จกว่าจะได้มาล้วนแล้วแต่เกิดจากความพยายามทั้งสิ้น เขาเลยบอกกับแม่มิ่งว่า "หนูเข้าใจแล้ว สิ่งที่หม่าม๊าพูดเสมอว่า ทำไมถึงให้หนูตั้งใจเรียนถึงแม้ว่าบางทีหนูจะเบื่อเรียนขิม" ทุกอย่าง คือ เป็นใบเบิกทางให้เขา และนำความสามารถด้านขมมาใช้ประกอบการพิจารณาเข้าศึกษาต่อในสถานที่ที่น้องใฝ่ฝันที่จะเรียน เพราะทุกอย่างต้องใช้ความอดทน ทุกอย่างความสำเร็จมันไม่ได้มาง่ายๆ
อาจจะพูดเหมือนนักวิชาการเลยว่ามีแม่ก็เหมือนมีครู พี่เลี้ยงลูกแบบนี้บางคนอาจมองว่าดุไปไหม แต่พี่บอกเลยว่าไม่ใช่ เพราะบุคลิกภาพของเราเป็นแบบนี้ไง ถามว่ามีคุยเล่นกันสนุกสนานไหมมันก็มีในอีกโมเม้นนึง แต่ถ้าในโมเม้นของความรับผิดชอบ บางทีพี่ไม่สามารถดูแลเขาได้ตลอด แต่เมื่อเราวางรากฐานให้เขา วางทางเดินให้เขา แล้วเขาเห็นว่ามันดี เขาก็เดินตามทางนี้ ความกดดันทุกคนมีหมด แต่อยู่ที่ว่าคุณเอาเรื่องความกดดันมาหดหู่หรือว่าเป็นพลัง พี่จะบอกเขาอย่างงี้ ถ้าเป็นพลังคุณก็เดินหน้าต่อไป
ในวันที่ลูกพลาด... ตรงจุดไหนพลาดให้เขาวิเคราะห์ตัวเอง ว่าตรงจุดไหน และคิดว่าพลาดจากอะไร แต่เราจะไม่มาดุมาตีมาอะไรกันแล้ว บอกเขาเลยว่าปัญหาไม่ได้มีไว้ให้เครียดแต่มีไว้แก้ไข และปรับปรุง คือจะเป็นคนที่เลี้ยงลูกแบบนี้
Digital Mom ในมุมมองของแม่มิ่ง
แม่มิ่งมองว่าโลกในทุกวันนี้ เรื่องของข้อมูลข่าวสารมาเร็วไปเร็ว เราไม่รู้หรอกว่าข้อมูลมันถูกต้องหรือป่าว อีกอย่างนึงคนมีมือถือเป็นปัจจัยที่ 5ทุกคนเสพข้อมูลด้วยมือถือ บางคนดูก่อนไปทำงานตอนเช้า มันช่วงเวลาบางทีไม่ถึงนาที มีเวลาไล่อ่านแป๊ปเดียว ถูกต้องหรือป่าวก็ไม่รู้ บางครั้งมันก็เป็นแง่มุมที่อันตราย หรือเป็นความเชื่อที่ผิดโดยเฉพาะแง่มุมของสุขภาพ การส่งต่อหรือแชร์ข้อมูลมันทำได้ง่ายรวดเร็วมาก
บางทีมันเป็น viral อันตราย โดยเฉพาะเด็ก อย่างกับลูกก็จะบอกเขาและรับฟังเขาว่า เพื่อนมี ปัญหาก็จะมาปรึกษาลูก เพราะเขารู้แม่ คือ แม่มิ่ง เช่น ทะเลาะกับพ่อแม่จะทำยังไง แก้ปัญหายังไง แม่มิ่งก็จะสอนฝากบอกลูกไป ให้บอกเหตุผลในเรื่องที่หนูกระทำ บางครั้งพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่หนูกระทำ แต่ถ้าหนูมาทำประชดมันจะไม่เกิดประโยชน์
จะพยายามบอกพ่อแม่เสมอว่า รับฟังลูกให้มาก อย่าบ้าความเป็นพ่อแม่ เป็นเพื่อนให้ลูกได้ เป็นครูก็ได้ เป็นอะไรให้ลูกก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นพ่อแม่อย่างเดียว คือออกคำสั่งไม่ฟัง ใช้อำนาจ บางทีคุณอาจโดนกดดันจากที่ทำงานมา คุณลงกับใครไม่ได้คุณลงกับลูก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ปัญหา คือ ลูกเริ่มเบื่อพ่อแม่ เด็กก็จะไปหาเพื่อน เพื่อนดีก็ดีไป ถ้าเจอเพื่อนที่พากันไปเสียก็แย่ ดังนั้นการเลี้ยงลูกที่ถูกต้องหรือที่ควรจะเป็น ดังนั้นการนำเสนอมันควรจะมีอะไรมากกว่าที่นำเสนอในเรื่องของคำคม แม่มิ่งไม่ได้ต้องการโจมตี คำคมเป็นสิ่งที่สะเทือนความรู้สึก ซึ่งการเล่นกับความรู้สึกคนมันไปได้เร็วแต่ไม่จีรัง แล้ววิธีการที่จะทำให้ถึงจุดนั้นมัน คืออะไร
เพจแม่มิ่ง = โลกสังคมอุดมสุขบนออนไลน์
แม่มิ่งมีอุดมการณ์ในการทำเพจ ซึ่งอยากให้จดจำว่าเพจแม่มิ่งว่า "อ่านได้ใช้ได้จริงนะ" เพจของเราเป็นกลุ่มคนเล็กๆที่ให้ความสนใจของกันเละกัน บางคนก็เฟรนท์ในเฟสบุ๊ค บางคนก็เป็นเพื่อนกัน เรามองว่า โลกสังคมอุดมสุขบนออนไลน์ เราเป็นเพื่อนกันแบบนั้นมากกว่า คือ บางเรื่อง แม่มิ่งมีปัญหา ก็ให้กำลังใจกัน เขามีปัญหาเราก็ให้กำลังใจกัน แฟนเพจแม่มิ่งบางคนอยู่ออสเตรเลีย ติดต่อกันจนกลายเป็นเพื่อนกันไปเลย
... เรารู้สึกว่าการทำเพจเราก็มีมุมน่ารักๆ สื่อถึงมิตรภาพ แสดงออกถึงมิตรภาพ บางทีเรารู้ว่าคนนี้เป็นแอดมินเพจแต่ว่าเราไม่ได้รู้จักเขาส่วนตัว แต่แม่มิ่งไม่ใช่ แม่มิ่งสามารถที่จะเป็นเพื่อนกับคุณได้ ...
7 ต.ค. 2565