Last updated: 23 มิ.ย. 2562 |
การเลี้ยงลูกในปัจจุบัน คงจะเลี้ยงให้ลูกเรียนเก่งอเพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว การสอนให้รู้จักปรับตัวในสังคมและการอยู่ร่วมกับผู้อื่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญและเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตต่อไป การปรับตัวในสังคมหรือเรียกอีกอย่างว่า ความฉลาดทางสังคม SQ : Social Quotient อาจฟังดูไม่คุ้นหูมากนัเกเมือ่เทียบกับคำว่า IQ และ EQ มาดูกันค่ะว่า ความฉลาดทางสังคม เป้นอย่างไรและเราในฐานะพ่อแม่จะฝึกฝนลูกได้อย่างไร
ผศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล คุณหมอได้อธิบายคำว่า ความฉลาดทางสังคม (SQ : Social Quotient) คือ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เช่น เมื่อลูกอยู่ที่โรงเรียน มีเพื่อนๆ มีคุณครู ลูกก็สามารถปรับตัวเข้ากับที่โรงเรียนได้ เวลาอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นอีกสังคมหนึ่งลูกก็จะ เรียนรู้และเข้าใจที่จะอยู่ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวง่าย ๆ คือ
รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร อยู่กับใครอากาศร้อนก็รู้จักอดทน ไม่ร้องโวยวาย หิวแล้ว ถึงเวลากินก็ยังรู้จักอดทนรอ ไม่ใช้ร้องโวยวายต้องได้ทุกอย่างเดี๋ยวนั้นเด็กที่มีความฉลาดทางสังคมจะสามารถปรับตัวได้ดี และจะกลายเป็น “ทักษะสำคัญ” ในการทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในอนาคตเชียวนะคะ ที่สำคัญคนที่ประสบความสำเร็จในสังคม ความสามารถเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เราต้องสั่งสมขวนขวายหาความรู้ แต่ถือว่าเป็นส่วนน้อย น้อยกว่า 1 ใน 4 เสียด้วยซ้ำ เพราะความสำเร็จสิ่งสำคัญมักจะเกิดจากความสามารถในการปรับตัว การใช้ชีวิตและการทำงานร่วมกับผู้อื่น ที่นี้มาดูกันว่า จะฝึกฝนลูกอย่างไรให้ลูกมีความฉลาดทางสังคม
กลยุทธ์ที่ 1 เอาตัวรอดได้ เอาตัวรอดได้ คือ การฝึกลูกให้รู้จักปรับตัว และตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่อย่างเหมาะสม เช่น ในสถานการณ์ เมื่อลูกถูกเพื่อนแกล้ง ลูกจะตัวรอดยังไง โดยไม่ให้ถูกเพื่อนคนเดิมแกล้งอีก ลองพูดคุยถามลูกว่า ดูว่าลูกคิดแก้ปัญหานี้อย่างไร แล้วพ่อจ๋าแม่จ๋าค่อยให้คำแนะนำ เช่น ไปหาคุณครู ไม่เล่นคนเดียวลำพัง แต่ไปเล่นกับเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ เป็นต้น
กลยุทธ์ที่ 2 เรียนรู้มารยาทสังคม เวลาที่ลูกต้องอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากซึ่งไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว การปลูกฝังให้ลูกรู้จักหน้าที่ของตนเอง มีความรับผิดชอบและมีมารยาทต่อผู้อื่นนั้นสำคัญมาก
รู้จักหน้าที่ รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นใคร มีหน้าที่อะไรและสามารถทำอะไรได้บ้าง เช่นไปทานอาหารร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆ ของพ่อจ๋าแม่จ๋า ลูกซึ่งยังเป็นเด็ก ต้องไม่ดื้อไม่ซน ไม่วิ่งวุ่นวายหรือทานอาหารเลอะเทอะ
ไม่พูดแทรกเวลาที่ผู้ใหญ่คุยกัน ซึ่งพ่อจ๋าแม่จ๋าควรจะพูดคุยทำความเข้าใจกับลูกก่อนนะคะเพื่อให้ลูกเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเอง
ความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัย ประพฤติตนอย่างเหมาะสม ไม่ใจร้อนเอาแต่ใจตนเอง และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย
มีมารยาท รู้จักมารยาทและสิทธิของผู้อื่นในที่สาธารณะ ไม่รบกวนหรือส่งเสียงดัง วิ่งเล่นซน จนเกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นแบบนี้เมื่อลูกได้เรียนรู้หน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองและผู้อื่นแล้ว แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้จะติดตัวลูกไปจนโตเลยนะคะคุณพ่อคุณแม่
กลยุทธ์ที่ 3 กล้าคิดกล้าทำ แต่ต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องนะคะ การกล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องถือเป็นทักษะที่ช่วยลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือสามารถสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่น ๆ ได้นะคะเช่น กล้าที่จะทักทายผู้อื่นก่อน กล้าที่จะถามกล้าที่จะตอบ และยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แม้อยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคยก็ตาม
กลยุทธ์ที่ 4 แบ่งปัน การแบ่งปัน ถือเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ควรปลูกฝังให้มีในตัวลูกการรู้จักแบ่งปันเริ่มตั้งแต่การรู้จักตนเอง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น การเสียสละ ความมีน้ำใจ ฝึกได้ไม่ยากคือ เช่น พ่อจ๋ากลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ แรก ๆ แม่จ๋าฝึกให้ลูกนำน้ำไปให้พ่อจ๋าดื่ม เพื่อคลายความเหน็ดเหนื่อย ชวนลูกช่วยทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อลูกทำสิ่งดี ๆ นั่นคือ “คำชม” เพื่อให้ลูกมีกำลังใจและภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนทำ นี่แหละค่ะ คือ จุดเล็ก ๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำความดีนั่นเอง
กลยุทธ์ที่ 5 สื่อสารกับผู้อื่นเป็น ไม่ใช่แค่พูดได้นำคะ ต้องสื่อสารอย่างเข้าใจด้วยข้อนี้ถือเป็นทักษะที่สำคัญ เพราะการสื่อสาร คือ หัวใจที่ทำให้ลูกผูกมิตรกับเพื่อน ๆ หรือผู้อื่นได้ง่าย เด็ก ๆ ควรได้รับการพัฒนาทั้งด้านการสื่อสาร ด้วยคำพูด (วัจนภาษา) และการกระทำหรือภาษาท่าทาง(อวัจนะภาษา) ลูกควรเข้าใจความหมายของคำและการแสดงออกที่ถูกต้องเมื่อต้องสื่อสารกับผู้อื่น และต้องสังเกตด้วยว่า ผู้ที่พูดด้วยนั้น เขามีปฏิกิริยาอะไร แบบนี้ถึงจะทำให้ลูกมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นแม่มิ่งแนะนำว่า ต้องสอนให้ลุกรู้จัก “ขอบคุณ” เมื่อมีใครทำอะไรให้ และรู้จัก “ขอโทษ”เมื่อลูกทำผิด ควรพูดให้ติดปากเสมอจะเป็นสิ่งที่ดีกับลูกนะคะ
ไม่ยากเลยนะคะหากจะฝึกฝนให้ลูกเป็นเด็กที่มีความฉลาดทางสังคมที่สำคัญสิ่งเหล่านี้จะติดตัวลูกไปจนโต ถือเป็นทักษะชีวิตที่ไม่ควรมองข้าม
มิ่งขวัญ ลิรุจประภากร (แม่มิ่ง)
20 ก.พ. 2566
23 ส.ค. 2567
10 ต.ค. 2566